Popular Posts

Tuesday, March 5, 2013

Nissan Sylphy สเปค ราคา


Nissan Sylphy สเปค ราคา
 สิ้นสุดการรอคอยกันสักที สำหรับรถยนต์ซีดานนัมเบอร์ล่าสุดของค่ายนิสสัน อย่าง “Nissan Sylphy” (นิสสัน ซิลฟี) ที่สาวกนิสสันทั้งหลายต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยกันมาแสนนาน เมื่อได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ววานนี้ (30 สิงหาคม) พร้อมราคาเปิดตัวที่น่าจะโดนใจใครหลายคนอยู่ไม่น้อย
สำหรับ Nissan Sylphy เป็นรถยนต์ที่ทางค่ายผลิตออกมาตีตลาดเพื่อสู้กับคู่แข่งอย่าง Honda Civic, Mazda 3 และ Toyota Altis แทนรุ่น Latio หรือ Tida 4 ประตู ที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก ส่วน Nissan Sylphy มีเครื่องยนต์ 2 ขนาดให้เลือกทั้ง 1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร ให้เลือกสรรตามการใช้งาน
ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกของ Nissan Sylphy เรียกได้ว่าสวยงามและเรียบหรู ดูโอ่อ่าและภูมิฐาน ตามสไตล์นิสสัน แต่แฝงไปด้วยออปชั่นที่ทันสมัย และระบบความปลอดภัยเป็นเลิศ ถึงแม้ว่าการออกแบบด้านหน้าจะคล้ายกับรุ่น Almera อีโคคาร์ 4 ประตู แต่ Nissan Sylphy จะโดดเด่นสะกดทุกสายตา ด้วยไฟ LED ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ที่โฉบเฉี่ยวทุกมุมมอง
สำหรับ Nissan Sylphy จะมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีเทา (Deep Iris Grey), สีขาวมุก (White Pearl), สีดำ (Black Star), สีเงิน (Brilliant Silver), สีแดง (Radiant Red) และสีเกรย์ยิช บรอนซ์ (Greyish Bronze) ซึ่งตามรายงานข่าวแจ้งมาว่าจะวางจำหน่ายทั้งหมด 6 รุ่น โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 746,000 บาท ถึง 931,000 บาท
ที่มา kapook ภาพจาก อินเตอร์เน็ต

ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 สเปค ราคา


ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 สเปค ราคา
     ปอร์เช่ เตรียมเปิดตัว 911 คาร์เรร่า 4 (911 Carrera 4) ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ active all-wheel drive system และระบบ PTM (Porsche Traction Management) แถมเน้นการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์และน้ำหนักเบา โดยมีให้เลือกถึง 4 เวอร์ชัน

          
      911 แบบขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่ล่าสุดนี้ จะเริ่มทำการเปิดตัวสู่ตลาดถึง 4 เวอร์ชันด้วยกัน คือ 911 คาร์เรร่า 4, 911 คาร์เรร่า 4S ทั้งในรูปแบบคูเป้ (Coupe) และ คาบริโอเลต (Cabriolet) ซึ่งความเป็นสปอร์ตจะเต็มพิกัดเสมือนเวอร์ชันขับเคลื่อนล้อหลัง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบรถให้เน้นเรื่องน้ำหนักเบา ระบบกันสะเทือนหรือช่วงล่าง เครื่องยนต์ และระบบส่งผ่านกำลัง ซึ่งมีเพียงระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อเท่านั้นที่แตกต่างออกไป โดยทั้ง 4 รุ่นมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่น้อยกว่ารุ่นเดิมถึง 16% และมีน้ำหนักที่เบากว่าเดิมถึง 65 กิโลกรัมเลยทีเดียว
ด้านมิติตัวรถ ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นและแตกต่างของ 911 แบบขับเคลื่อนสี่ล้อ คือ ความกว้างของด้านหลังรถ หากเปรียบเทียบกับรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง ซุ้มล้อทางด้านหลังจะขยายกว้างขึ้นข้างละ 22 มม.ยางหลังจะมีความกว้างกว่าเดิม 10 มม.ไฟท้ายแดงที่เชื่อมยาวจากไฟท้ายข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ยังคงอยู่แต่ได้มีการพัฒนาออกมาในรูปแบบใหม่
     โดยทุกรุ่นจะติดตั้งระบบส่งผ่านกำลังหรือระบบเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะ มาเป็นมาตรฐานให้กับตัวรถ และยังสามารถเลือกติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK เป็นอุปกรณ์เสริมได้ รุ่น 911 คาร์เรร่า 4 คูเป้ มีพละกำลังแรงม้าสูงสุดถึง 350 แรงม้า (257 กิโลวัตต์) และสามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 4.5 วินาที (รุ่นคาบริโอเลตทำได้ในเวลา 4.7 วินาที) โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (รุ่นคาบริโอเลต 282 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งด้วย
   สำหรับอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงหากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK มาด้วยแล้ว สำหรับรุ่นคูเป้จะอยู่แค่เพียง 8.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 203 กรัม/กิโลเมตร) ส่วนรุ่นคาบริโอเลตอยู่ที่ 8.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 205 กรัม/กิโลเมตร)
ส่วนทั้งรุ่นคูเป้และคาบริโอเลตของ 911 คาร์เรร่า 4 เอส ต่างใช้เครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตรแบบ boxer ติดตั้งทางด้านหลัง และสร้างพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 400 แรงม้า (294 กิโลวัตต์) ทำให้สร้างอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในระยะเวลาเพียงแค่ 4.1 วินาทีเท่านั้น (รุ่นคาบริโอเลต : 4.3 วินาที) ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 299 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (รุ่นคาบริโอเลต 296 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงหากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK สำหรับรุ่นคูเป้อยู่ที่ 9.1 ลิตร/100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 215 กรัม/กิโลเมตร) ส่วนรุ่นคาบริโอเลตอยู่ที่ 9.2 ลิตร/100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 217 กรัม/กิโลเมตร)
   ใน 911 คาร์เรร่า 4 ใหม่นี้จะมีเมนูใหม่ที่แผงหน้าปัดเพื่อทำการแจ้งเตือนผู้ขับขี่ว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ PTM นั้น กำลังกระจายพละกำลังเครื่องยนต์อย่างไร ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีระบบ Adaptive Cruise Control (ACC) ให้เลือกติดตั้งได้ในทุกๆ รุ่น เพื่อควบคุมระยะห่างและความเร็วของรถอีกด้วย หากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK มาด้วยแล้วนั้น ระบบ ACC จะเพิ่มฟังก์ชั่นความปลอดภัย Porsche Active Safe (PAS) เพื่อช่วยป้องกันการชนทางด้านหน้า ไม่เพียงเท่านี้ ปอร์เช่ยังนำเสนอกระจกซันรูฟใหม่ล่าสุดให้ติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริมที่สามารถเลือกติดตั้งได้สำหรับ 911 คาร์เรร่า คูเป้ อีกด้วย และหากติดตั้งระบบเกียร์มาตรฐานและระบบ Sport Chrono Pack มาด้วยนั้นจะสามารถเพิ่มความเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น หากอยู่ในโหมดสปอร์ต พลัส ระบบจะทำการ double-declutches ระหว่างลดระดับเกียร์อีกด้วย
สำหรับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่นี้ออกมาทดแทนเจนเนอเรชันเดิมที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ซึ่งมียอดขายถึง 24,000 คัน ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ถือได้ว่ามีส่วนแบ่งการตลาดจากยอดขาย 997 เจนเนอเรชันที่ 2 ถึง 34% เลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่า การพัฒนาของระบบขับเคลื่อนที่ยอดเยี่ยม นั่นคือ 911 ที่มาพร้อมกับการขับเคลื่อนสี่ล้อ อีกทั้งยังมีเครื่องยนต์ที่มาพร้อมกับระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง (Direct petrol injection) ระบบเกียร์อัตโนมัติ (Porsche Doppelkupplung (PDK)) และระบบควบคุมการทรงตัว Porsche Traction Management (PTM) แบบไฟฟ้า ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2011 ปอร์เช่ ส่ง 911 คาร์เรร่า 4 จีทีเอส (911 Carrera 4 GTS) ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตร และมีพละกำลังสูงสุดถึง 408 แรงม้า (300
ผู้จัดการ

Land Rover Range Rover รุ่นใหม่ล่าสุด


Land Rover Range Rover  รุ่นใหม่ล่าสุด
  ทิ้งระยะเวลาร่วม 10 ปี ในที่สุด แลนด์ โรเวอร์ ก็มีอะไรใหม่ๆ ให้กับเอสยูวีระดับลักซัวรี่ของตัวเองอย่าง “เรนจ์โรเวอร์” แล้ว เมื่อเผยภาพของรุ่นใหม่แกะกล่องที่เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในงานที่ปารีส และจากนั้นจะเริ่มขายในยุโรปทันที ก่อนทยอยเปิดตัวในอีก 160 ประเทศทั่วโลก

land rover range rover sport
ในรุ่นใหม่นี้เป็นเจนเนอเรชันที่ 4 นับตั้งแต่ชื่อของเรนจ์โรเวอร์ เป็นที่รู้จักกันของนักขับทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 1970 เพื่อเจาะตลาดเอสยูวีระดับหรู ส่วนในรุ่นที่กำลังนับถอยหลังเตรียมเลิกทำตลาดเปิดตัวเมื่อปี 2002 และถือเป็นเรนจ์โรเวอร์รุ่นแรก ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาภายใต้เจ้าของใหม่อย่างบีเอ็มดับเบิลยู ก่อนที่กิจการของแลนด์โรเวอร์จะถูกขายออกไปให้กับฟอร์ดในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่เรนจ์โรเวอร์ใหม่รุ่นนี้เปิดตัวออกมา
     สำหรับรุ่นใหม่มีรหัสของการพัฒนา คือ L405 และถูกพัฒนาภายใต้เจ้าของใหม่อย่างทาทาแห่งอินเดีย มาพร้อมกับตัวถังแบบ 5 ประตูที่เน้นน้ำหนักตัวที่เบาขึ้นด้วยการใช้อะลูมิเนียมในการผลิตชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า และโครงสร้างของแชสซีส์ด้านท้ายของตัวรถ และจากการนำอะลูมิเนียมมาใช้ในการผลิตตัวถังทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเบาลงประมาณ 39% หรือคิดเป็น 420 กิโลกรัมเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นที่ใกล้เคียงกันในตัวถังที่แล้ว

        ขณะที่รูปลักษณ์ภายนอกของตัวรถหันมาเน้นการผสมผสานแนวคิดของความเป็นรถสปอร์ตเข้ากับสมรรถนะในการบุกตะลุยบนเส้นทางวิบาก และยังแฝงเอาไว้ด้วยความหรูหราในทุกรายละเอียด ส่วนในแง่ความทนทานนั้น ทางแลนด์โรเวอร์ บอกว่า ไม่ต้องกังวลเพราะโปรเจ็กต์นี้มีการนำเรนจ์โรเวอร์ใหม่ออกวิ่งทดสอบจริงตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกมากกว่า 20 ประเทศ เพื่อให้เผชิญหน้ากับความหลากหลายประเภท
ทางเลือกของเครื่องยนต์จะมี 3 รุ่น จากขุมพลัง 2 แบบ คือ เบนซิน แบบ วี8 และเทอร์โบดีเซล แบบ วี6 และ วี8 ในรุ่น TDV6 และ SDV8 ซึ่งให้ทั้งสมรรถนะ ความประหยัดน้ำมัน และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำ

Hyundai H-1 Deluxe สเปค

Hyundai H-1 Deluxe สเปค 


ฮุนได H-1 ถือได้ว่าเป็นรถธงจากแดนกิมจิ ที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย แล้วประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยโกยยอดขายแบบถล่มทลายจากรุ่นแรก มาจนถึงปัจจุบัน ด้วยยอดขายกว่า 10,000 คัน และล่าสุด ฮุนได ได้เผยโฉม The New Hyundai H-1 Series 2012 ที่มาพร้อมกับความหรูหรา สมรรถนะที่โดดเด่น และความประหยัดอย่างเหนือชั้น



The New Hyundai H-1 Series 2012 ได้รับการปรับแต่งให้มีแรงบิดที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 392 นิวตันเมตร เป็น 441 นิวตันเมตร ในรุ่น H-1 Deluxe และ H-1 Executive เพื่อให้มีสมรรถนะที่ดีขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ H-1 Touring เกียร์ธรรมดา ก็ได้รับการปรับแต่งในเรื่องของสเปกให้เหมาะกับการใช้งานที่หนัก แต่เน้นการประหยัดที่มากขึ้น




สำหรับ H-1 ที่ผู้เขียนได้นำมาทดสอบคือ H-1 Deluxe เครื่องยนต์ดีเซล 2,500 ซีซี เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด สัมผัสแรกที่เห็นต้องยอมรับว่ารูปโฉมมีความล้ำสมัย สวยงามไม่แพ้แบรนด์จากญี่ปุ่น หรือยุโรป กันเลยทีเดียว กระจังหน้าตกแต่งด้วยโครเมียม พร้อมชุดแต่งด้านข้างรอบคัน กันชนหน้า-หลังสีทูโทน พร้อมไฟตัดหมอกคู่หน้า และเพิ่มความปลอดภัยด้วยการติดตั้งไฟเบรกดวงที่ 3 ช่วยให้มองเห็นได้ในระยะไกล ขณะที่ภายในเลือกใช้วัสดุชั้นเยี่ยม



คอนโซลและสีภายในเป็นสีเบจทูโทน พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น พร้อมหัวเกียร์ตกแต่งด้วยวัสดุสีเมทัล แผงปรับอากาศสีเมทัลพร้อมลายไม้ แยกการควบคุมหน้า-หลัง เบาะนั่งหนังแท้ มีทั้งหมด 12 ที่นั่ง โดยแถวที่สองสามารถหมุนได้ แถวที่สามและสี่ปรับเอนและเลื่อนได้ นอกจากนี้แถวที่สี่ยังสามารถพับเก็บได้เมื่อต้องการบรรทุกสิ่งของ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีให้ครบครัน อาทิ ประตูห้องโดยสารเปิดสไลด์สองข้าง พร้อมกระจกแบบเลื่อนได้ และกล้องมองภาพด้านหลัง พร้อมเส้นกะระยะ เป็นต้น



ช่วงการทดสอบ ผู้เขียนพาสมาชิกในครอบครัวที่มีอยู่ด้วยกัน 6 คน ไปพักผ่อนต่างจังหวัด การขับขี่ในเมืองถึงแม้ว่าจะเป็นรถเอ็มพีวีขนาดใหญ่ แต่ด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์ ที่ปรับแต่งให้มีแรงบิดเพิ่มขึ้น ทำให้การออกตัวเป็นไปอย่างไหลลื่น ไม่อืดอาดเหมือนรถในเซ็กเมนท์เดียวกัน ในบางเวลาถึงแม้ว่ารถจะติด ก็ไม่ทำให้น่าเบื่ออีกต่อไป เพราะสามารถดูหนัง ฟังเพลงผ่านจอ LCD ที่ติดเพดานห้องโดยสารได้ ขณะที่การขับขี่นอกเมืองให้ความคล่องตัวดี เบาะนั่ง



หนังแท้ นั่งสบายทุกที่นั่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ หรือผู้โดยสารก็ตาม ระบบปรับอากาศแยกหน้า-หลัง ให้ความเย็นได้อย่างทั่วถึง

ระบบช่วงล่างของ H-1 Deluxe ด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังคอยล์สปริง พร้อมแขนยึด 5 จุด ให้การยึดเกาะถนนได้ดี เวลาขับขี่เข้าโค้ง ไม่มีอาการโยนแม้แต่นิดเดียว ขณะที่พวงมาลัยเพาเวอร์ก็ช่วยให้การขับขี่สะดวกมากขึ้น ในส่วนของล้ออัลลอยเป็นแบบสปอร์ต มาพร้อมกับยางขนาด 215/70 R16 ก็เหมาะสมกับตัวรถได้ดี


ด้านความปลอดภัยมั่นใจได้ นอกจากจะมีถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบเบรก ABS พร้อมดิสก์เบรกทั้งสี่ล้อแล้ว ฮุนไดยังมีจุดเด่นในเรื่องแชสซีที่มีความหนาและเหนียวเป็นพิเศษ ทั้งนี้เป็นเพราะฮุนไดเป็นบริษัทผลิตรถยนต์เบอร์หนึ่งของเกาหลี ที่มีโรงงานถลุงเหล็กเป็นของตนเอง ซึ่งสามารถเลือกใช้วัสดุที่ดีแต่มีราคาถูกได้

สรุปแล้ว H-1 Deluxe ถือได้ว่าเป็นรถยนต์เอ็มพีวีหรู ระดับพรีเมียม ที่มีจุดเด่นทั้งในด้านสมรรถนะ และประหยัดน้ำมัน เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมทั้งราคาที่ดึงดูดใจเพียง 1,524,000 บาท น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม

 ที่มา เเนวหน้า

ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ SUV ราคา

ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ SUV ราคา

  แม้จะเปิดตัวขายในญี่ปุ่นไปแล้วสำหรับ “ ฟอเรสเตอร์ “ รุ่นใหม่ที่เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 และขณะนี้กำลังยืนอวดโฉมอยู่ที่งาน “แอลเอ มอเตอร์โชว์ 2012” สำหรับตลาดในเอเชียซูบารุเลือกประเทศไต้หวัน (วันที่ 5 ธ.ค.) เปิดตัว ฟอร์เรสเตอร์ รุ่นใหม่


      


       ฟอเรสเตอร์ ใหม่ เปลี่ยนบุคลิกมาเป็น SUV อย่างเต็มตัว พร้อมกับเปลี่ยนรูปแบบและสไตล์ของตัวรถมาเป็นแบบยกสูง และเน้นความบึกบึน แต่ยังไม่ทิ้งกลิ่นอายของสมรรถนะในการขับขี่ โดยรุ่นใหม่มากับตัวถังแบบ 5 ประตูที่มีความยาว 4,595 มิลลิเมตร กว้าง 1,795 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,640 มิลลิเมตร


       รุ่นนี้มากับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบนอน ทวินแคม 16 วาล์ว 2,000 ซีซี ซึ่งมีให้เลือก 2 แบบ คือ รุ่นธรรมดา มีกำลังสูงสุด 148 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.0 กก.-ม. ที่ 4,200 รอบ/นาที และรุ่นเทอร์โบที่ใช้ระบบ Di หรือ Direct Injection และเทอร์โบแบบ Twin-Scroll เข้าไป ซึ่งรีดกำลังออกมาได้ 280 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 35.7 กก.-ม. ที่ 2,000 รอบ/นาที เลือกส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT ที่ซูบารุเรียกว่า Lineartronic หรือจะเป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะก็ได้


     
       ส่วนระบบขับเคลื่อนมีแบบเดียวเป็นแบบ AWD หรือ 4 ล้อตลอดเวลา พร้อมโหมดที่เรียกว่า X-Mode ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับบนถนนที่ลื่น หรือบนเส้นทางออฟโรดที่วิบากในระดับหนึ่ง ซึ่งในระบบนี้จะมีการติดตั้งระบบ HDC หรือ Hill Descent Control ทำหน้าที่ในการควบคุมความเร็วให้อยู่ในระดับต่ำมาก จนเกือบจะเป็น Walking Speed ในการลงทางลาดชันมากๆ เพื่อความปลอดภัย



       ฟอเรสเตอร์เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่เปิดตัวในปี 1997 และได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดยอิงพื้นฐานของคอมแพ็กต์คาร์อย่างอิมเพรซา แต่สามารถตอบสนองความอเนกประสงค์ด้วยตัวถังในสไตล์กึ่งๆ แวกอน และไม่ได้ยกสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับ SUV ที่อยู่ในตลาด ซึ่งทางซูบารุใช้แนวทางนี้ในการทำตลาดให้กับ 2 รุ่นแรกจนได้รับการตอบรับที่ดี
     
       แม้รูปลักษณ์และแนวคิดของตัวรถจะถูกเปลี่ยนไปตั้งแต่เจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งเปิดตัวในปี 2008 แต่ทว่าซูบารุก็ยังคงคอนเซ็ปต์ของการเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ร้อนแรงเอาไว้ให้กับฟอเรสเตอร์ ในรุ่นใหม่ที่จำหน่ายในญี่ปุ่น มากับเครื่องยนต์เทอร์โบบล็อกใหม่ที่มีกำลังสูงถึง 280 แรงม้าเลยทีเดียว
     
       ค่าตัวของฟอเรสเตอร์ใหม่ในญี่ปุ่นอยู่ที่ 2,089,500-2,936,800 เยน หรือราวๆ 850,000-1,100,000 บาท ส่วนบ้านเรามีขายแน่ คาดว่าจะเปิดตัวต้นปีหน้าราคารุ่นเริ่มต้นประมาณ 1.9 ล้านบาท

บทความจาก ผู้จัดการ คลิปจาก youtube

Mazda BT-50 PRO สเปค ราคา ความคุ้มค่า

Mazda BT-50 PRO สเปค ราคา ความคุ้มค่า

    นายโชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทพยายามสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดรถยนต์ของไทย หลังต้องประสบกับภัยพิบัตน้ำท่วมครั้งใหญ่ โดยทางมาสด้า ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่รายหนึ่งในประเทศไทย ได้มีแผนที่จะปรับเปลี่ยนแผนการของบริษัทขึ้นใหม่ เพื่อให้ความต้องการของตลาดและผลกระทบกับอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศมีความลงตัวมายิ่งขึ้น ทางมาสด้าเลยต้องเร่งพยายามกลับมาผลิตให้เร็วที่สุด




            และด้วยจุดประสงค์นั้นเอง ทางมาสด้าก็พร้อมแล้วสำหรับการเปิดตัว "BT-50 PRO" รถกระบะต้นแบบพันธุ์แกร่งตัวใหม่ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีการดีไซน์ใหม่ ๆ ที่ล้ำยุค และโดดเด่นไม่เหมือนใครตามสไตล์ของมาสด้า



            ทั้งนี้ BT-50 PRO จะเป็นกระบะที่มีให้เลือกทั้งแบบ "ฟรีสไตล์แค็ป" และแบบ "ดับเบิ้ลแค็ป 4 ประตู" ซึ่งมาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 3.2 และ 2.2 ลิตร โดยเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร ผลิตกำลังสูงสุดได้ 200 แรงม้า มีแรงม้าเพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ 3.0 ลิตรดีเซลที่ใช้ใน BT-50 รุ่นปัจจุบัน ขณะที่เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ผลิตกำลังสูงสุดได้ 150 แรงม้า เทียบกับรุ่นปัจจุบันแล้ว มีแรงมาเพิ่มขึ้นมา 5%



            ในส่วนของรูปทรงภายนอก มาสด้าจะเน้นการดีไซน์ที่ดูสปอร์ต ดุดัน ในสไตล์ "Zoom-Zoom" ด้วยล้ออัลลอยด์ขนาด 17 นิ้ว ขณะที่ภายในห้องโดยสาร จะเน้นในเรื่องของความสะดวกสบาย เท่ หรู พอ ๆ กับภายในห้องโดยสารของรถยนต์นั่งรุ่นอื่น ๆ ของมาสด้า

            นอกจากนั้นแล้ว ยังมีในเรื่องของไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง เกียร์แบบ 6 สปีด พร้อมฟังก์ชั่นการแจ้งเตือนเปลี่ยนเกียร์ "Up-shift indicator" ระบบเบรก ABS 4 ล้อ พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD ตามด้วยหน้าจออเนกประสงค์ที่เชื่อมต่อกับระบบบูลทูธ สัญญาณกะระยะถอยหลัง และภาพแสดงพื้นที่จับวัตถุ

            ทางมาสด้าได้ตั้งราคาเริ่มต้นของ BT-50 PRO ไว้ที่ 589,000 บาท พร้อมกันนี้ยังตั้งเป้ายอดขายไว้สูงถึง 22,000 คันเลยทีเดียว นอกจากนั้นแล้ว มาสด้าเองยังแถมฟรีประกันภัยชั้น 1 ในทุกรุ่นอีกด้วย

            สำหรับใครที่สนใจ BT-50 PRO ตัวนี้ หรืออยากไปดูรถรุ่นใหม่ ๆ ของมาสด้าเพิ่มเติมแล้วล่ะก็ ลองไปดูกันได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการมาสด้าทั้ง 130 แห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มาสด้า สปีดไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2664-4888 หรือต่างจังหวัดโทรฟรีได้ที่หมายเลข 1-800-226-408

ที่มา kapook

ปัญหาเกี่ยวกับหัวเทียนรถยนต์

ปัญหาเกี่ยวกับหัวเทียนรถยนต์


        เริ่มแรกขอเริ่มที่เบอร์หัวเทียนกันก่อนนะครับ หัวเทียนในแต่ละยี่ห้อนั้น มันบอกเบอร์ไม่ได้ (เพราะมันไม่มีปาก!) ตัวเลขแต่ละแบรนด์ก็ไม่เหมือนกัน ถ้าจะเทียบกันจริง ๆ คงต้องใช้ตารางเทียบว่าแบรนด์นี้ เบอร์นี้ ตรงกับรุ่นอะไร ถึงจะชัวร์ และอย่างที่ใช้กันประจำ ๆ พูดกันติดปากก็ไม่พ้น "N...K" หัวเทียนทั่ว ๆ ไปที่เรียกว่า หัวเทียนร้อน จะเป็นเบอร์ต่ำเสมอ ส่วนหัวเทียนเย็นจะเป็นเบอร์สูง ว่าแต่....ร้อนกับเย็นมันต่างกันยังไง เดี๋ยวจะอภิปรายให้ฟัง

หัวเทียนร้อน
     "หัวเทียนร้อนเนี่ย....ตัวมันเองจะระบายความร้อนออกได้ช้า" เมื่อเราใช้งานจริง ในห้องเผาไหม้มันมีความร้อนจากการจุดระเบิด เมื่อหัวเทียนรับความร้อนนั้นมา จะส่งผลให้เกิดความร้อนสะสมที่หัวเทียนอยู่อย่างนั้น



หัวเทียนเย็น
     "หัวเทียนเย็นก็คือ...ตัวมันสามารถถ่ายเทความร้อนออกไปได้เร็วกว่าหัวเทียน ร้อน" แต่ใช่ว่าจะมันจะหายร้อนเลยนะ อย่างนั้นไม่ใช่ จริง ๆ แล้ว หัวเทียนจะมีความร้อนสะสมอยู่ระดับนึงเพื่อให้แห้งตลอดเวลา เป็นทั้งหัวเทียนร้อนและหัวเทียนเย็น เพียงแต่ว่าหัวเทียนเย็นจะถ่ายเทความร้อนได้เร็วกว่าเท่านั้นเอง

     มันก็เหมือนกับเหล็กเผาไฟนั่นแหละ เมื่อโดนน้ำมันก็จะดัง "ฟู่" ควันฉุยแล้วก็หายไป แต่เหล็กนั้นก็ยังร้อนอยู่เหมือนเดิม ซึ่งเงื่อนไขมันเป็นอย่างนี้นะ "ไอดี" มันเป็น "ความชื้น" เมื่อความชื้นพ่นมาโดนอะไรสักอย่าง มันก็จะทำให้ของชิ้นนั้นเปียก ดังนั้นถ้าเราเปรียบของชิ้นนั้นเป็นหัวเทียน ถ้ามันเปียก ก็จะส่งผลให้ "หัวเทียนบอด"

     ผมลองยกตัวอย่างให้ดูนะ รถที่วิ่งใช้งานในเมืองทุกวัน วิ่งช้าตลอดเวลา
คลานกระดึ๊บๆไปเรื่อย "ชิว ชิว" รถจำพวกนี้อุณหภูมิในห้องเผาไหม้จะต่ำมากเลย ซึ่งถ้าในสถานการณ์นี้ควรเลือกใช้ "หัวเทียนร้อน" เพราะว่าเราต้องการระบายความร้อนช้าๆ เพื่อเก็บความร้อนสะสมไว้ ไม่ให้ "หัวเทียนบอด..!" ไงจ๊ะ


     กลับกัน ถ้าเป็นรถที่ใช้ความเร็วสูงมาก ๆ ถ้าเราใช้หัวเทียนร้อน มันจะทำให้ระบายความร้อนไม่ทัน อาจสร้างความ "ชิ...หาย" ได้ ต่าง ๆ นานา เช่น หัวเทียนละลาย กระเบื้องแตก และ เกิดอาการชิงจุด ก็เป็นได้ "คือว่าหัวเทียนมันร้อนเกินไป มันก็เหมือนโละหะเผาไฟร้อนแดง เมื่อมีไอดีเข้ามา มันเป็นเชื้อเพลิงพร้อมที่จะจุดระเบิด พอมากระทบตัวหัวเทียนปุ๊บ ซึ่งมันยังไม่ทันถึงจังหวะจุดระเบิด มันก็จุดระเบิดทันทีจากความร้อนสะสมของหัวเทียน" ซึ่งรถที่ใช้ความเร็วตลอดควรเลือกใช้ "หัวเทียนเย็น" เพื่อการระบายความร้อนจะดีกว่า

     แต่ว่า...มันก็ต้องขึ้นอยู่กับการใช้งานให้ถูกประเภท (เฉพาะกิจ) ด้วย อย่าง รถแต่งเครื่องซิ่งสุดประเทศ..! มันจะมีความร้อนสูงมากกว่าเครื่องยนต์สแตนดาร์ดทั่ว ๆ ไป และส่วนมากมักเป็นเครื่องยนต์ที่มีระบบอัดอากาศ (TURBO) ซึ่งเครื่องยนต์ประเภทนี้เป็นเครื่อง "Over Lap" มาก จุดระเบิดไม่ค่อยดีในรอบต่ำ หัวเทียนที่ใช้จึงเป็นหัวเทียนเย็นเสมอ

     แต่ถ้าเรานำเครื่องซิ่งวิ่งผิดที่ (ในเมือง) อันนี้ก็ต้องจบข่าว "ผิดแผน" กันไป เพราะเครื่องประเภทนี้มันต้อง "เหนี่ยว" อย่างเดียว แต่ถ้ามาวิ่งผิดที่ รับรองวิ่งไม่ได้เลย เพราะเครื่องซิ่งเหล่านี้ ส่วนมากรอบต่ำมันวิ่ง "สับปะรดหมาไม่แด...กอยู่แล้ว" ยิ่งเจอรถติดในเมืองอีก รับรองแม่เจ้า....ไม่รอด "บอดสนิท" ทุกราย ซึ่งถ้าจะมาใช้ในเมืองจริง ๆ คงต้องเปลี่ยนเป็นหัวเทียนร้อนแทน แต่ถ้าดันทุรังมีหวัง "หลับ" ทุกราย

             หลายคนอาจจะเคยเห็นหัวเทียนแบบไม่มีเขี้ยวหรือแบบมีหลายเขี้ยวซึ่งแต่ละแบบ มีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียต่างกันคับ โดยประเภทหัวเทียนมีทั้งหมด(เท่าที่ผมรู้นะคับ)8ชนิดนะคับได้แก่
1.หัวเทียน แพล้ตตินั่ม
2.หัวเทียนรถแข่ง
 3.หัวทียนปลายตัด
 4.หัวเทียนจมูกยาว
5.หัวเทียนไร้เขี้ยว
6.หัวเทียนมีหลายเขี้ยว
7.หัวเทียนเขี้ยวทองแดง
8.หัวเทียนชนิดเร่งประกายไฟ คร๊าบ


ข้อดีข้อเสีย

1.หัวเทียนแพล้ตตินั่ม มีข้อดีตรงที่ทนทานต่อการสึกกร่อน ทนทานต่อความร้อนสูงและช่วยส่งประกายไฟได้ดีคับ ส่วนข้อเสียคือราคาแพงคับ

2.หัว เทียนรถแข่ง มีข้อดีตรงที่เหมาะสำหรับการขับในรอบสูง (เพราะหัวเทียนชนิดนี้เย็นมาก) ข้อเสียคือไม่เหมาะแก่การใช้งานในเมืองคับ(เพราะเขม่าจะจับมาก)

3.หัวเทียนปลายตัด มีข้อดีตรงที่ หัวเทียนชนิดนี้ออกแบบให้อนุภาคของสารและเขม่าอื่นๆปลิ่วว่อนอยู่ในห้องเผาไหม้ม่เกาะเขี้ยวหัวเทียน

4.หัว เทียนจมูกยาว มีข้อดีตรงที่สามรถเพิ่มความร้อนได้อย่างรวดเร็วทำให้เขม่าไม่เกาะแต่ขณะใช้ รอบสูงก็จะไม่ร้อนเกินไปเพราะมีไอดีจากจังหวะดูดมาพัดเอาความร้อนไปและมีประ สิทธ์ภาพพอๆกันกับหัวเทียนแพล้ตตินั่มส่วน ข้อเสียคือหัวเทียนชนิดนี้ใช้ไม่ได้กับเครื่อง Side Vale คับ

5.หัวเทียนไร้เขี้ยว มีข้อดีตรงที่ทนทานต่อประกายไฟแรงๆคับ

6.หวั เทียนที่มีหลายเขี้ยว มีข้อเสียตรงที่หัวเทียนชนิดนี้ออกแบบมาสำหรับเครื่องบินซึ่งทำงานด้วยความ เร็วคงที่ซึ่งถ้านำมาใช้กับรถในเมืองเขม่าจะเกาะง่ายและทำความสะอาดยาก
 ขึ้นคับ

7.หัวเทียนเขี้ยวทองแดง มีข้อดีตรงที่ ถ่ายเทความร้อนได้ไวกว่าโลหะอย่างอื่นเหมาะสำหรับรถความเร็วสูงและบรรทุกหนักคับ

8.หัวเทียนชนิดเร่งประกายไฟ มีข้อดีตรงที่สามารถจุดประกายไฟขณะที่มีเขม่าจับและเหมาะกับรถที่ใช้งานในเมืองหนาวด้วยคับ

ขอบคุณบทความจาก http://www.oknation.net/blog/wish2782/2010/10/18/entry-1